Thai Poets

Thai Poets

Thai Poets

บทกวี: ดวงประทีปส่องหัวใจ ท่ามกลางความมืดมิดของโลก

บทกวีมิใช่แค่ถ้อยคำเรียงร้อย แต่มันคือดวงประทีปแห่งศิลปะ ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิดของโลก บทกวีปลุกเร้าอารมณ์ ชวนให้เห็นความงามซ่อนเร้น บ่งบอกความจริงอันลึกซึ้ง โดยอาศัยพลังแห่งภาษา บทความนี้ ชวนเราทุกคนมาหลงใหลกับความงดงามของบท

ภาพวาดไร้สี แต่ทรงชีวิต

บทกวีมิได้เสกสรรค์ภาพด้วยสีสัน แต่อาศัยคำเปรียบ เล่นเสียง สร้างภาพจินตนาการ จนผุดขึ้นในมโนภาพ บทหนึ่ง เปรียบเปรยท้องฟ้าเปื้อนหมึก ดั่งน้ำตาลอย ๆ ของหญิงสาว บทหนึ่ง เช่นเสียงคลื่นกระทบฝั่ง ดั่งเสียงสะอื้นไห้ แม้ไร้สีสัน บทกวีกลับวาดภาพได้คมชัด สะเทือนอารมณ์กว่าภาพถ่ายใด ๆ

เสียงเพลงจากดวงวิญญาณ

บทกวีมิใช่แค่เรียงความ แต่อาศัยจังหวะ ลีลา คล้องจอง สร้างเป็นบทเพลงจากดวงวิญญาณ จังหวะหนักแน่นเร้าใจ บทหนึ่ง บอกเล่าวีรกรรมนักรบ จังหวะอ่อนช้อยละมุนละไม บทหนึ่ง บรรยายความรักหวานซึ้ง เสียงเพลงแห่งบทกวี ขับกล่อมให้หัวใจเราเต้นตาม จินตนาการโลดแล่น

รสชาติอันหลากหลาย

บทกวีมิใช่แค่รสหวาน แต่มันมีรสชาติหลากหลาย ดั่งอาหารบนปลายลิ้น บทหนึ่ง เผ็ดร้อนด้วยอารมณ์โกรธแค้น บทหนึ่ง เปรี้ยวซ่าด้วยเสียดสีสังคม บทหนึ่ง ขมลึกด้วยความโศกเศร้า แต่รสชาติใด ๆ ล้วนทิ้งกลิ่นหอมติดปลายลิ้น ชวนให้กลับมาลิ้มชิมอีกครั้ง

มรดกทางปัญญา

บทกวีมิใช่แค่บันเทิง แต่มันคือมรดกทางปัญญาของบรรพชน สะท้อนวัฒนธรรม วิถีชีวิต สภาพสังคม ผ่านถ้อยคำอันงดงาม บทกวีสอนให้เรารู้จักรัก รู้จักเศร้า รู้จักคุณค่าชีวิต บทกวีชี้ประเด็นให้เราคิด ท้าทายความคิดเดิม ๆ บทกวีคือครูผู้สอนโดยไม่เอ่ยปาก

บ่มเพาะหัวใจให้รักบทกวีเถิด แล้วคุณจะค้นพบโลกใบใหม่ ใบไม้พลิ้วไหวเล่าบทกลอน หยาดฝนร้องเพลงรำลึก ค่ำคืนพรุ่งพรายด้วยแสงดาวแห่งโบทประพันธ์ เวิ้งว้างของจักรวาลมีบทกวีบรรเลง

โคลงสี่สุภาพ: บทกวีแห่งลีลาและสัมผัส

โคลงสี่ สุภาพ เป็นฉันทลักษณ์ประเภทหนึ่งที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา มีลักษณะบังคับเสียงวรรณยุกต์อย่างเคร่งครัด โดยบทหนึ่งมี 4 บรรทัด แต่ละบรรทัดมี 5 พยางค์ วรรคหน้ามี 2 พยางค์ วรรคหลังมี 3 พยางค์ สัมผัสบังคับตามแผนผังดังต่อไปนี้

สัมผัสนอก : สัมผัสระหว่างวรรคหน้ากับวรรคหลังของบรรทัดเดียวกัน

สัมผัสใน : สัมผัสภายในวรรคของบรรทัดเดียวกัน

โคลงสี่สุภาพเป็นฉันทลักษณ์ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในวรรณคดีไทย ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมสำคัญ ๆ มากมาย เช่น มหาชาติคำหลวง โคลงนิราศหริภุญชัย โคลงมังทราตีเชียงใหม่ ลิลิตพระลอ เป็นต้น

ความงดงามของโคลงสี่สุภาพอยู่ที่ลีลาและสัมผัสอันไพเราะ ลีลาของโคลงสี่สุภาพมีลักษณะกระชับ ฉับไว หนักแน่น เน้นจังหวะสัมผัสอย่างสม่ำเสมอ ก่อให้เกิดความไพเราะและชวนติดตาม สัมผัสของโคลงสี่สุภาพ นอกจากจะช่วยเสริมสร้างจังหวะและลีลาแล้ว ยังช่วยเชื่อมร้อยความหมายของโคลงแต่ละบทเข้าด้วยกันได้อย่างกลมกลืน

นอกจากนี้ โคลงสี่สุภาพยังสามารถใช้สื่ออารมณ์ได้อย่างหลากหลาย สามารถใช้บรรยายความงาม เล่าเรื่อง แสดงความคิดเห็น เสียดสีสังคม ฯลฯ ได้อย่างลึกซึ้งและทรงพลัง ตัวอย่างโคลงสี่สุภาพที่สื่ออารมณ์ได้อย่างงดงาม เช่น

**ความงามของธรรมชาติ**

งามดั่งนางฟ้า งามดั่งนางอัปสร
งามดั่งนางมณี งามดั่งนางสวรรค์
งามดั่งนางพญา งามดั่งนางฟ้าสวรรค์


**ความรัก**

รักดั่งน้ำค้าง รักดั่งสายฝน
รักดั่งสายลม รักดั่งสายแสง
รักดั่งสายน้ำ รักดั่งสายฟ้า


**ความโศกเศร้า**

เศร้าดั่งฝนตก เศร้าดั่งลมพัด
เศร้าดั่งฟ้าผ่า เศร้าดั่งดาวตก
เศร้าดั่งสายลม เศร้าดั่งสายฝน


โคลงสี่สุภาพเป็นฉันทลักษณ์ที่งดงามและทรงคุณค่า สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถอันลึกซึ้งของกวีไทยในการใช้ภาษาและวรรณศิลป์ โคลงสี่สุภาพจึงเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์และสืบสานต่อไป

กาพย์ยานี 11: เพลงแห่งชีวิต บทสั้นใจยาว

กาพย์ ยานี 11 บทประพันธ์แห่งแผ่นดินไทย มิใช่แค่ถ้อยคำเรียงร้อย แต่เป็นเสียงเพลงจากก้นบึ้งหัวใจ บทละ 11 พยางค์ แบ่งเป็น 2 บาท บาทละ 5-6 พยางค์ สั้นกระชับ แต่บรรจุความหมายไว้ล้นเหลือ

ความงามแรกของกาพย์ยานี คือ ไพเราะแห่งสัมผัส เสียงวรรณยุกต์ คล้องจองอย่างประณีต เช่น บทหนึ่งว่า "ลมโบกพลิ้วไหว ใบไม้ร่วงโรย หยาดฝนร้อยสาย สะอื้นร่ำร้อง" สัมผัส "โรย"-"ร้อง" สะท้อนความเศร้าซึม เสียง "ล" ไพเราะ กลมกลืนกับเสียงสะเทือนใจของใบไม้ร่วง

ความงามถัดมา คือ ภาพวาดลอยล่อง จินตนาการผลิบาน เพียง 11 พยางค์ บรรยายฉากได้ครบถ้วน บทหนึ่งเปรียบ "เดือนดาราพร่าง ดั่งเพชรบนแพร่ำ แสงระยำส่องนำ ฝันหวานนิเวศน์" ภาพท้องฟ้ายามราตรี พร่างดาวดั่งประดับ อบอุ่นด้วยแสงฝัน ช่างชวนเคลิ้ม

ความงามสุดท้าย คือ รสชาติหลากชีวิต กาพย์ยานีบรรจุทุกอารมณ์ บทหนึ่งรื่นรมย์ "ดอกไม้ผลิบาน รายสวนชวนชม ภึ้งผึ้งรำลึก จักจั่นกรีดกราย" บทหนึ่งสะเทือนใจ "ร้างไกลจากดวง พลัดพรากห่วงใย น้ำตาร่วงรินไหล ดุจสายฝนชายแดน"

กาพย์ยานี 11 สั้นแต่ทรงพลัง ถ้อยคำน้อยใหญ่สะท้อนชีวิต ดั่งบทเพลงบรรเลง จับหัวใจคนฟัง ร่วมร้องรำ ร่วมร้าวราน ดื่มด่ำทุกความหมาย มิใช่แค่บทประพันธ์ แต่มันคือศิลปะแห่งชีวิต

อ่านกาพย์ยานี 11 เถิด แล้วคุณจะหลงรักบทเพลงสั้น บทประพันธ์ยาว บทแห่งชีวิต

กลอนแปด: มนต์เสกคำ สานร้อยความงาม

กลอน แปด ฉันทลักษณ์แสนคุ้นหู สักวาใสซึ้ง ท่วงทำนองไพเราะ บทละ 8 คำ เสกศิลปะภาษา จับหัวใจคนอ่าน แม้ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน แต่กลอนแปดยังคงครองบัลลังก์แห่งบทกวีไทย

ความงามขั้นแรกของกลอนแปด คือ จังหวะและลีลา คำ 8 คำ ต่อวรรค ไหลลื่น เคลื่อนไหว ดุจเสียงน้ำไหลริน ปะทะหิน หินก้อนใหญ่ บทหนึ่งว่า "สายลมพัดโบก ใบไม้พลิ้วไหว หยาดฝนร่วงริน ดั่งน้ำตานางชล" จังหวะหนักเบา สัมผัสสระ "ไหว"-"ชล" เสริมลีลา เคล้าคลอ กับภาพฝนพรำ อ่อนช้อยละมุนละไม

ความงามขั้นถัดมา คือ จินตนาการลอยล่อง ผสานถ้อยคำ สร้างภาพวาดสดใส เพียง 8 คำ แต่บรรยายได้หมดจด บทหนึ่งว่า "ตะวันลับฟ้า ภูผาสีทอดย้อม ละเวหาโชติ รุ้งทองอร่าม" ภาพท้องฟ้าโพล่เพลิง ยามตะวันลับ ผสมผสานสีสัน ดั่งเทพจิตรกรลงสี

ความงามสุดท้าย คือ อารมณ์หลากสี กาพย์ยานีบรรจุทุกอารมณ์ บทหนึ่งรื่นรมย์ "ดอกไม้ชูช่อ กระจายสีสันสดใส ผึ้งบินร่อนเร่ เพลงหวานรำลึก" บทหนึ่งสะเทือนใจ "จากกันไกลห่าง ห่วงใยตรมลึก น้ำตาคลอหน่วง รอคอยวันคืน"

กลอนแปด แม้จะเรียบง่าย แต่ทรงพลัง สะท้อนทุกแง่ชีวิต ดั่งเวทมนตร์เสกคำ สานร้อยความงาม ถ้อยคำเรียงร้อย เป็นเสียงหัวใจ สื่อรัก สื่อทุกข์ ร่วมทุกอารมณ์

ดื่มด่ำกลอนแปดเถิด แล้วคุณจะหลงรัก ฉันทลักษณ์แห่งเสน่ห์ สัมผัสจังหวะลีลา ละเมียดความหมาย ซึมซาบความงดงาม บทกวีอมตะ

Report Page